ประวัติของอลาสก้า
แต่เดิมเป็นเขตของรัสเซียที่สำรวจก่อนอเมริกานิดหน่อย อเมริกาเสนอซื้อดินแดนนี้ในราคา 7 ล้านดอล ถูกมาก จนคนรัสเซียคิดว่าบ้าไปแล้วขายไปทำไม ส่วนคนอมเริกาก็หัวเราะเยาะผู้นำว่า รับสินบนหรือเปล่า จ่ายเงินเพื่อซื้อก้อนน้ำแข็งเนี่ยนะ แต่แล้วประมาณศตวรรษที่19 มีการค้นพบ ทองคำ คนจากทั่วทุกสารทิศ แห่มาขุดทอง ขุดๆๆ พอทองหมดก็ย้ายเมืองต่อ คนที่รวยไม่ใช่คนขุด แต่กลับเป็นร้านค้าที่มาขายอุปกรณ์ขุด ร้านอาหาร ร้านรับซักผ้า คนขุด ขุดหลังแทบหักไม่รวยสักคน
นอกจากทองคำ ยังมีน้ำมัน ซึ่งรัสเซียคงจะเสียดายไม่น้อย ดินแดนแห่งนี้หนาวเหน็บ และมีประชากรเพียง 7 แสนคน 2 กิโลเมตร จะเจอคนอยู่ 1 คน แบบว่าเนื้อที่เหลือกินเหลือใช้ ใครอยากจะไปปลูกบ้านอยู่ก็เลือกเอาได้เลย
ในยุคตื่นทองมีเรื่องน่าประทับใจ เมื่อ เมืองNOME โนม เมืองยอดนิยมแห่งใหม่ของนักขุด เจอโรคไทรอยส์ระบาดเด็กพากันป่วยและกำลังจะตายไปทีละคนสอง ถูกกักไว้ในโรงพยาบาล พายุหิมะกำลังถล่มในฤดูหนาว ทางเดียวที่จะรอดคือ ใช้รถเลื่อนที่เอามาไซบีเรียนลาก เดินทางข้าม พายุหิมะระยะทาง600 กิโลเมตร ไปกลับก็พันกว่า ไปเอาเซรั่ม มีรถลาก 19 คน สุนัข 150ตัว ช่วยกันส่งต่อกัน พระเอกของงานคือ คุณเซปต้า กับหมาจ่าฝูงนำขบวนชื่อ โตโก เขาคือแชมป์โลกรถลากเลื่อน เขาต้องเดินทางในช่วงที่อันตรายที่สุดคือ ข้ามทะเลสาปน้ำแข็งและภูเขาที่สูงชัน ระยะทาง 150 กิโลเมตร ไปกลับ 300 กิโล เขาขับรถลากผ่านทะเลสาปน้ำแข็งตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่มีแสงไฟสักดวง ข้ามภูเขาสูงเขา ฝ่าพายุที่แรงระดับ 105 กม./ชม บางคนใน19ทีม หน้าดำเพราะโดนน้ำแข็งกัด มือแข็งติดกับรถลากต้องเอาน้ำร้อนราด แต่ละคนเดินทางเพียง 19-20 กิโลเมตร มีเพียง 1 เดียวคือแชมป์โลก เขาเดินทาง300 กิโลเมตร ในเวลาเพียง 24 ชม. (ดูหนังจะอินมากกก) แน่นอนว่า เซปตา โตโก และทีมลาก คือฮีโร่ของเมือง
หน้าหนาวในอลาสก้าโหดร้ายมาก ติดลบ 50-60 องศา เคยมีเพื่อนอยู่อลาสก้าคนหนึ่ง ช่วงที่ประเทศไทยเจอพายุตอนเมษา ประมาณปี2017 ช่วงที่อากาศ ลงไปที่3-4 องศาจนฮิตเตอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ได้อยู่กับฝรั่งคนนี้ที่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ต้องใส่เสื้อกันหนาวหนาๆตลอดทั้งวัน มือเท้านี่เกร็ง ส่วนฝรั่งอลาสก้าคนนี้ใส่เสื้อยืดจ้า เสื้อยืดตัวเดียวโดดๆเลย ถามมันว่าไม่หนาวเหรอ มันตอบว่า แบบนี้แหละอากาศกำลังดี
อลาสก้ามีแสงเหนือ แล้วเพื่อนฝรั่งยังบอกอีกว่า ปลาแซลม่อนจะกินตอนไหนก็ได้ แค่มันไปที่ริมทะเล เอาเบ็ดโง่ๆ10บาท กับเศษขนมปัง ก็ตกปลาแซลม่อนได้แล้ว คือ มีเยอะมาก มีทั้งปลา มีทั้งปูอลาสก้า มีอาหารทะเลเพียบ อิจฉาเว่อร์ ที่นั่นกลางคืนมีแค่ 4 ชม. ที่เหลือที่จะเป็นแสงแบบมัวๆ ครึ้มๆ อยู่อลาสน่าจะขาวน่าดูไม่โดนแดดเลย
ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเที่ยวอลาสก้าสักครั้ง ไปขี่รถลาก (ทำไมประเทศไทยไม่เห็นมีใครเอาเจ้าไซมาทำรถลากเลยอ่ะ) ไปตกปลา ไปนั่งโง่ๆริมตลิ่ง แดกปูอลาสก้า ตัวละ10บาทมั้งอยู่โน้นน่าจะถูก 555 หนีจากไปอยู่เลยได้ป่าวนะ แบบว่าไปเที่ยวแล้วอยู่ยาวงี้ เป็นแรงงานเถื่อนในเรือจับปูอลาสก้ายาวๆ 5555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น